ไทยเสี่ยงข้อหา “ทางผ่าน” สินค้าจีน เอกชนนัดนายกฯถกแผนเจรจาทรัมป์
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
เปิด 3 ประเด็นเสี่ยงประเทศไทยตกเป็นเป้าโจมตีการค้าของสหรัฐ จับตา “สินค้าจีน” ใช้ไทยเป็นทางผ่านส่งออกไปสหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี สภาพัฒน์เตือนรับมือบริษัทจีนแปลงร่างหนีสงครามการค้า ขณะที่ กกร. นำทีมภาคเอกชนเตรียมเข้าพบนายกรัฐมนตรี หลังกลับจากดาวอส เสนอตั้ง “ทีมไทยแลนด์” เอกชนขอมีส่วนร่วมหารือแผนเจรจาทรัมป์ รับมือทรัมป์ 2.0
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อ 20 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมกับเซ็นคำสั่งประกาศนโยบายต่าง ๆ จำนวนมาก และวันต่อมาได้ประกาศพิจารณาขึ้นภาษีสินค้าจีน 10% ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ แม้ว่าจะยังไม่มีอะไรที่กระทบต่อประเทศไทยโดยตรง แต่นโยบายทรัมป์ 2.0 น่าจะรุนแรงไปทั่วโลก และมีหลายประเด็นที่อาจทำให้ไทยเสี่ยงได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ
ธุรกิจเตรียมรับแรงกระแทก
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรระบุว่า นโยบายการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่แค่สงครามการค้าเหมือนเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ขณะที่เศรษฐกิจไทยโดยรวมที่ต้องยอมรับว่าไม่เหมือนทศวรรษที่แล้ว ดังนั้นการเตรียมรับมือแบบเดิมอาจไม่ได้ผลอีกต่อไป นอกจากนี้ ผลกระทบที่คาดต่อเศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเท่านั้น แต่สหรัฐอาจบีบให้ไทยเปิดตลาดให้แก่สินค้าจากสหรัฐมากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มการแข่งขันและมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศอื่น ๆ อีกด้วย
กลุ่มเป้าหมายสำคัญที่สหรัฐจะหันมาเพ่งเล็งมากขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ มี 5 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
1) บริษัทสัญชาติอเมริกาที่ย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศและส่งสินค้ากลับไปขายผู้บริโภคในสหรัฐ
2) สินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐโดยตรง และส่งผลกระทบด้านลบต่อผู้ผลิตท้องถิ่น
3) ประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐขนาดสูง ไม่ว่าจะเป็น เม็กซิโก แคนาดา เวียดนาม และอาจจะรวมถึงไทยด้วย
4) สินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐผ่านประเทศที่สาม เพื่อพยายามหลบหลีกภาษีนำเข้า
5) ประเทศที่มีมาตรการกีดกันสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตราที่สูง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านภาษีหรืออื่น ๆ
แม้ว่าเครื่องมือภาษีนำเข้าอาจไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดดุลทางการค้าเรื้อรังได้ทั้งหมด แต่ประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าจะใช้การขึ้นภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือสำคัญในการกดดันประเทศหรือบริษัทต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการค้าที่เป็นธรรมมากขึ้น อาทิ การลดมาตรการกีดกันสินค้าจากสหรัฐ การยกเลิกหรือลดการให้ผลประโยชน์กับบริษัทสัญชาติอเมริกาเพื่อดึงดูดการลงทุนและใช้สหรัฐเป็นตลาดส่งออก หรือการกดดันให้บริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนในสหรัฐ หากต้องการเข้าถึงตลาดสหรัฐ
3 ประเด็นเสี่ยงไทยตกเป็นเป้า
นอกจากนี้ KKP Research ระบุถึงกรณีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยว่า แม้ไทยจะเป็นประเทศเล็กในสายตาของสหรัฐ และดูผิวเผินไม่ใช่เป้าที่จะถูกขึ้นภาษีแต่ในมุมมอง แต่ก็วิเคราะห์ว่ามี 3 ประเด็นที่อาจทำให้ไทยเสี่ยงเข้าข่ายเป็นประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายรองของสหรัฐ
ประเด็นแรก คือ การเกินดุลการค้ากับสหรัฐของอาเซียน และไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ อยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2024 ไทยเกินดุลมากที่สุด คิดเป็นอันดับที่ 11 จากประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐทั้งหมด
แม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นประเทศที่มีขนาดเกินดุลกับสหรัฐมากที่สุด แต่หากสหรัฐมองไทยและประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนเป็นกลุ่มประเทศเดียวกันทั้งหมดจะพบว่า กลุ่มประเทศอาเซียนมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ อยู่ที่ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอันดับที่ 2 รองจากจีนเท่านั้น ประเทศในกลุ่มอาเซียนจึงมีความเสี่ยงที่จะเจอกับมาตรการกีดกันการส่งออกจากสหรัฐ พร้อมกันทั้งหมดได้
โดยสินค้าของไทยที่มีการเกินดุลในระดับสูง เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ ยางรถยนต์ เป็นต้น สินค้าเหล่านี้อาจถูกยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายของภาษีนำเข้าและเป็นเป้าหมายในการเจรจา หากสหรัฐต้องการที่จะเล่นงานการเกินดุลการค้าของไทย
ระทึก “สินค้าจีน” ผ่านไทยไปสหรัฐ
ประเด็นที่สอง สินค้าจีนที่ส่งผ่านไทยไปยังตลาดสหรัฐ เพื่อหลบเลี่ยงภาษีนำเข้า ซึ่งนับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในปี 2018 ดุลการค้าของไทยที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐ พร้อมกับการขาดดุลกับจีนที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ตั้งข้อสงสัยว่า กิจกรรมการค้าบางส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาของไทย ส่วนหนึ่งคือการหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐของจีน
โดยสินค้าอย่างแผงโซลาร์เซลล์ โมเด็ม/เราเตอร์ หรือหม้อแปลงไฟฟ้า อาจเข้าข่ายสินค้าจีนใช้ตลาดไทยเป็นทางผ่านในการส่งไปยังตลาดสหรัฐ โดยข้อมูลจาก ITC Trade Map แสดงให้เห็นว่าปริมาณการนำเข้าแผงโซลาร์จากจีนสะสมตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2022 มีปริมาณใกล้เคียงกับปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐ ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐทราบเป็นอย่างดีและเพิ่มมาตรการกีดกันสินค้าเหล่านี้ จนกว่าแนวโน้มการส่งออกจะลดลง และสหรัฐอาจถึงขั้นกำหนดว่าประเทศที่เข้าข่ายเป็นทางผ่านจะต้องพิสูจน์มูลค่าเพิ่มของสินค้า เพื่อแสดงให้เห็นว่ามูลค่าส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากจีน
และนั่นอาจทำให้กระบวนการทางการค้าในอนาคตมีความยุ่งยากและต้นทุนมากขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการไทย
ประเด็นที่สาม มาตรการกีดกันสินค้านำเข้าจากสหรัฐ เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์มีนโยบาย Reciprocal Trade Act คือหากประเทศไหนขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐ สหรัฐจะตอบโต้ขึ้นภาษีกลับในอัตราที่เท่ากันในสินค้านั้น ๆ ในกรณีของประเทศไทย สินค้าหลักที่ไทยคิดภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าสหรัฐ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์อาหาร ยานพาหนะสำหรับการคมนาคม เป็นต้น
ประเมินผลกระทบ ศก.ไทย
อย่างไรก็ดี KKP Research ระบุว่า การประเมินผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจไทยมีความซับซ้อนสูง เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงแนวทางผลลัพธ์ของการเจรจาหากเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม มองว่าผลกระทบที่เป็นไปได้ต่อเศรษฐกิจไทยที่ต้องติดตาม คือ สหรัฐเป็นตลาดสำคัญของไทยที่ช่วยให้มูลค่าการส่งออกของไทยเติบโตและสนับสนุนดุลการค้าของไทยในปี 2024 หากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมด รวมถึงสินค้าไทยด้วยอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินค้าส่งออกหลักของไทยไปยังสหรัฐ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ยางรถยนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ สินค้าที่เข้าข่ายเป็นสินค้าจีนที่ส่งผ่านไทยไปยังตลาดสหรัฐ อาจมีแนวโน้มหดตัวในระยะข้างหน้า เนื่องจากนโยบายสหรัฐที่จะเพ่งเล็งสินค้านี้เป็นพิเศษ รวมไปถึงการที่บริษัทจีนอาจเริ่มทยอยย้ายฐานการผลิต “ออกจากไทย” มากขึ้น จากความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มนี้เกิดขึ้นแล้วในการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ โดยนับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2024 เป็นต้นมา มูลค่าการส่งออกในหมวดแผงโซลาร์เซลล์และอื่น ๆ ปรับตัวลดลงกว่า 80% ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะดำรงตำแหน่งด้วยซ้ำ
สาเหตุหลักคาดว่าเป็นเพราะบริษัทจีนเริ่มย้ายฐานออกจากไทย และย้ายไปตั้งฐานการส่งออกที่ลาวและอินโดนีเซียมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ประเด็นนี้สะท้อนว่าการลงทุน FDI จากจีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เข้ามาเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐ อาจลดลงหรือย้ายออกจากไทย หากสหรัฐเล่นงานประเทศที่ได้รับประโยชน์จากเรื่อง China +1 ในช่วงที่ผ่านมา
สินค้าจีนทะลักไทย-อาเซียนหนัก
อย่างไรก็ดี นโยบายการค้าของสหรัฐไม่ได้เพียงจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทยเท่านั้น แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจีนจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทยด้วยเช่นกัน ยิ่งสหรัฐกดดันจีนมากเท่าไหร่ผ่านการขึ้นภาษีนำเข้า จีนอาจยิ่งตอบโต้ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศและสนับสนุนให้ธุรกิจหาตลาดส่งออกอื่น โดยเฉพาะตลาดอาเซียน เพื่อแทนที่ตลาดสหรัฐ และยิ่งจีนกำลังดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายผ่านการลดดอกเบี้ย และทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง ยิ่งทำให้การนำเข้าสินค้าจากจีนถูกลงไปอีก
ทั้งหมดนี้อาจทำให้สถานการณ์สินค้าจีนทะลักในไทย ไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นและยิ่งทำให้ภาคการผลิตจีนเข้ามาแทนที่ภาคการผลิตไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรกังวลถึงผลกระทบที่มาจากฝั่งของจีนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเปิดเสรีการค้ากับจีนค่อนข้างมาก ถ้าพิจารณาสินค้านำเข้าจากจีนที่ใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าระหว่างอาเซียน-จีน 10 อันดับแรก
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่กำลังมีปัญหาถูกตีตลาด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เหล็กประเภทต่าง ๆ ผลไม้อย่างองุ่น นอกจากนี้ อัตราการใช้สิทธิจากข้อตกลงทางการค้าของจีนยังต่ำกว่าข้อตกลงอื่น ๆ ทำให้มีแนวโน้มที่จีนอาจใช้ช่องทางดังกล่าว หากสหรัฐมีมาตรการที่รุนแรงกว่าที่คาด
สศช.แนะรับมือบริษัทจีนแปลงร่าง
สอดคล้องกับที่นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า กรณีของการเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยผลกระทบจะต้องดูรายละเอียดของนโยบาย ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าสหรัฐขึ้นภาษีจีนเท่าไร แต่หากขึ้นภาษีสินค้าที่เข้าสหรัฐ ที่มีชิ้นส่วนของจีนก็จะเป็นเรื่องโกลาหลพอสมควร
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญประเทศไทยจะต้องมีกลไกที่จะทำให้ไทยเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามาเพื่อหลีกเลี่ยงการกีดกันทางการค้า เนื่องจากข้อมูลการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในปี 2567 มูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท พบว่าส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสิงคโปร์ที่แปลงร่างจากจีน ดังนั้น บริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยก็ต้องทำให้เป็นบริษัทไทย ไม่ว่าจะเป็นการให้คนไทยเข้าไปร่วมลงทุนหรืออย่างไร ขณะเดียวกันไทยจะต้องพยายามเป็นประเทศเป็นกลางของสงครามการค้า
“เนื่องจากไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐเป็นอันดับ 12 แม้ไม่เท่ากับจีนหรือเวียดนาม แต่ไทยอยู่ในจุดความเสี่ยงที่จะโดนกีดกันทางการค้า ซึ่งสภาพัฒน์และกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมไว้หลายสมมุติฐานว่าจะกระทบอย่างไร”
ไทยถูกเพ่งเล็งอันดับ 2 อาเซียน
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ประเมินว่า ไทยมีแนวโน้มถูกเพ่งเล็งจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ภายใต้ Trump 2.0 สูงเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากเวียดนาม เนื่องจากสหรัฐเสียเปรียบทางการค้ากับไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเกินดุลการค้าของไทยสูงและเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย
ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทระยะหลัง จำนวนคำสั่งมาตรการ AD และ CVD ในหลายประเภทสินค้า (เช่น เหล็กและโลหะ แผงโซลาร์ และเคมีภัณฑ์) สูงกว่าคู่เทียบ รวมถึงการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่ค้ารายอื่น
นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ด้วยมูลค่าการส่งออกสูงถึง 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 17% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด คิดเป็นกว่า 9.4% ของจีดีพีไทย ทำให้การยกมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสูงสุดถึง 20% ในระลอกนี้จะสร้างผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทยอย่างมหาศาล ซึ่งจะเป็นการง่ายกับสหรัฐ ในการเรียกร้องสิทธิประโยชน์ทางการค้ากับไทย
เลือกไทย Supplier แทนจีน
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกของไทยในปี 2568 นี้ มีความเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะความเสี่ยงจากนโยบายของนโยบายทรัมป์ 2.0 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยและภาครัฐได้เตรียมรับมือไว้แล้ว และเชื่อว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส ซึ่งจากที่ได้หารือกับผู้ส่งออกหลายรายพบว่า ประเทศผู้ซื้อต่าง ๆ หันมานำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น โดยให้ไทยเป็น Supplier แทนจีน
โดยกรมได้สั่งการให้ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ทั้ง 58 แห่ง ทำงานอย่างเข้มข้นและติดตามนโยบายทรัมป์ รวมไปถึงดูผลกระทบและโอกาสในทุกตลาดของสินค้าไทย ที่จะสามารถทดแทนสินค้าจีนในตลาดนั้น ๆ
ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ในฐานะประเทศที่มีการค้าเกินดุลกับสหรัฐ อยู่อันดับที่ 12 ของโลก และคาดว่าจะเสี่ยงได้รับผลกระทบโดยตรงกับนโยบายทรัมป์ 2.0 โดยข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ พบว่าปี 2567 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐ 54,956.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยการนำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 19,528.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
พิชัยเตรียมเยือนสหรัฐ ก.พ.นี้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจัยท้าทายจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ ซึ่งจะกระทบกับบรรยากาศการค้าโลก รวมไปถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์และวางแผนเตรียมความพร้อมร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีแผนจัดคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ไปเยือนสหรัฐ เพื่อพูดคุยเจรจาแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าการลงทุนของไทยและสหรัฐ เพื่อลดผลกระทบโอกาสที่สหรัฐจะมีการขึ้นภาษีสินค้าที่มาจากประเทศไทย”
ส่วนแผนการรับมือยกระดับการส่งออกก็นโยบายมีมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการเจาะตลาดใหม่ ๆ เช่น เอเชียใต้ อินเดีย แอฟริกา ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง รวมไปถึงกลุ่มประเทศอาเซียน ที่แนวโน้มเศรษฐกิจมีการเติบโต จึงเป็นช่องทางในการขยายตลาดส่งออกสินค้าไทย
กกร.เสนอตั้ง “ทีมไทยแลนด์”
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และในนามคณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 ฝ่าย (กกร.) เปิดเผยว่า ในมุมมองของภาคเอกชนมองว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นนักธุรกิจ นักเจรจา ซึ่งจากที่ประกาศนโยบายออกมา สิ่งที่รัฐบาลไทยทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ จำเป็นจะต้องรวบรวมข้อมูลว่า สหรัฐเสียเปรียบไทยในประเด็นอะไรบ้าง ซึ่งประเด็นสำคัญคือเรื่องของดุลการค้าที่เห็นชัด โดยจำเป็นต้องสรุปข้อมูลประเด็นต่าง ๆ ให้ได้โดยเร็ว เพราะมองว่าระยะเวลาสั้น
ภาคเอกชนรับทราบว่ารัฐบาลจะมีคณะทำงานขึ้นมาสรุปศึกษาผลกระทบการรับมือในตลาดสหรัฐ แต่ในคณะทำงานดังกล่าวยังขาดภาคเอกชนที่มีความรู้ ความเข้าใจถึงปัญหา และภาคเอกชนจะรู้ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมใดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ยางล้อรถยนต์ ซึ่งมีส่วนสำคัญ และภาคเอกชนต้องการนำเสนอข้อมูลให้กับรัฐบาลเพื่อรับมือและแก้ไข เพราะหากเราเตรียมความพร้อมดีกว่าที่ไปแล้วไม่สามารถตอบอะไรได้เลย
“ภาคเอกชนจึงเห็นว่า ภาครัฐและเอกชนควรจับมือการตั้งเป็น คณะทีมไทยแลนด์ รับมือทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะ ซึ่งเดิมก็มีการตั้ง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชนและเอกชน หรือ กรอ. ซึ่งมีการประชุมร่วมกันปีละ 2 ครั้ง แต่จากปัญหาทรัมป์ 2.0 อาจต้องตั้งคณะทำงานชุดเล็กขึ้นมา เพื่อให้ทำงานร่วมกันโดยเฉพาะประเด็นนี้ ก็คาดหวังว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานที่ประชุม เพื่อให้การเดินหน้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในเรื่องข้อสรุปผลกระทบ แนวทางการแก้ไขต่าง ๆ”
เข้าพบนายกฯยื่นข้อเสนอ
นายสนั่นกล่าวว่า นอกจากนี้การเดินหน้าในการรับมือทรัมป์ 2.0 เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง จำเป็นจะต้องร่วมมือกันเพื่อสรุปหารือในการนำข้อมูลไปเจรจา ซึ่งควรจะจัดเป็นแพ็กเกจ ไม่ใช่การนำรายสินค้าเข้าไปพูดคุย เพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ต้องรู้เขารู้เรา และอ่านใจว่าสหรัฐต้องการอะไร การเปิดเผยข้อมูลในการเจรจาทั้งหมดอาจทำให้ไทยเสียเปรียบได้ ทั้งอาจต้องมีการหารือในด้านความมั่นคง ดังนั้นการต่อรองของไทยกับสหรัฐจำเป็นจะต้องรู้ว่าสหรัฐต้องการอะไร และไทยจะมีอะไรที่จะเข้าไปแลกเปลี่ยน ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งทางภาคเอกชนต้องการนำแนวทางนี้เสนอให้กับภาครัฐ เพื่อตั้งคณะทำงานขึ้นมาร่วมกัน
โดยแนวทางดังกล่าวจะนำเสนออย่างไม่เป็นทางการให้กับนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากที่กลับจากการประชุม WEF ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เพื่อต้องการให้เห็นการทำงานในลักษณะทีมไทยแลนด์ ที่จะเดินหน้าไปเจรจากับสหรัฐซึ่งเหลือเวลาไม่มากแล้ว เพราะเห็นว่ารัฐบาลคงต้องการเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และสหรัฐก็เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย และเห็นว่าการเจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญ
อิเล็กทรอนิกส์ดิ้นเพิ่มไฮแวลู
นายวิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองเลขาธิการ และเลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เราควรต้องทำ 3 อย่างให้เร็วที่สุด คือ 1.เข้าไปสู่ตลาดไฮแวลู คือผลิตชิ้นส่วนป้อนกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะตลาดใหญ่อยู่ที่อเมริกา ซึ่งทรัมป์ไม่มีทางปฏิเสธชิ้นส่วนนี้ได้เลย 2.ต้องเริ่มหาตลาดใหญ่อย่างแถบอินโดแปซิฟิก เพื่อมุ่งไปสู่ตลาดกรีนเอ็นเนอร์ยี่ (พลังงานสีเขียว)
3.ต้องหันกลับมาลดต้นทุนในองค์กรของตนเอง เพื่อลดความเสียเปรียบที่ต้องถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ขณะนี้หลายประเทศเริ่มมูฟตัวโดยเร็วทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ เพราะเป็นประเทศที่โดนเก็บภาษี 10% บนพื้นฐานเดียวกัน ซึ่งไทยต้องเร่งเพราะหากช้าตลาดไฮแวลูจะเต็ม ทำให้ส่วนแบ่งและการต่อรองทำตลาดยากขึ้น
ผู้ส่งออกอาหารเกาะติดตั้งรับ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกรรมการ บริษัท มหาบูรพาผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด และในฐานะรองประธานกรรมการหอการค้าไทยและนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เปิดเผยว่า การส่งออกอาหารไปในตลาดสหรัฐ คำสั่งซื้อยังคงอยู่ในภาวะปกติ แม้จะยังไม่มากหากเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นเพราะผู้นำเข้าสหรัฐยังคงประเมินและดูท่าทีนโยบายของทรัมป์
แต่อย่างไรก็ดี ยังมองว่าสินค้าอาหารยังเป็นที่ต้องการ โดยส่วนใหญ่สินค้าอาหารที่ส่งไปในตลาดสหรัฐ เช่น ข้าวหอมมะลิ ผลไม้เมืองร้อน ปลากระป๋อง ยังเป็นที่ต้องการบริโภคอยู่ พร้อมกันนี้ยังมองภาพรวมการส่งออกสินค้าอาหารไปในตลาดสหรัฐในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 5% แม้จะลดลงจากปี 2567 ซึ่งมีการขยายตัวประมาณ 10% ทั้งนี้ เป็นเพราะปัจจัยอื่นส่งผลกระทบรวมไปถึงเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างการฟื้นตัว
ทั้งนี้ จากการติดตามการนำเข้าสินค้าอาหาร ผู้นำเข้าสหรัฐมีการเร่งนำเข้าตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567 เนื่องจากกังวลการประกาศนโยบายของทรัมป์ 2.0 และในช่วงต้นปี 2568 ผู้นำเข้ายังคงสงวนท่าทีคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่ผู้ส่งออกของไทยขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากทรัมป์ 2.0 เนื่องจากยังไม่มีการประกาศเก็บภาษีกับประเทศไทย การรับมือของผู้ส่งออกส่วนใหญ่จึงอยู่ระหว่างการติดตามและประเมินผล รวมทั้งการมองหาตลาดใหม่เพื่อรองรับตลาดสหรัฐ เช่น แอฟริกา ตะวันออกกลาง เป็นต้น แต่ทั้งนี้ สหรัฐก็ยังเป็นตลาดสำคัญของการส่งออกไทย
แบงก์เตือนความผันผวนค่าเงิน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย (TBA) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยถึงกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนตัวจาก Paris Agreement ว่า หากแผนในเรื่องกรีนในสหรัฐดีเลย์ก็จะทำให้เรามีเวลาหายใจหายคอขึ้น แต่เทรนด์คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสิ่งที่มาคู่ขนานกันมาจากเรื่องการแปรปรวนของสภาวะภูมิอากาศ ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงของการผลิต ความเสี่ยงของการใช้ชีวิตประชากรตามประเทศต่าง ๆ ซึ่งก็นำไปสู่งบประมาณของประเทศต่าง ๆ ที่ต้องนำไปเจือจุนในระบบเศรษฐกิจที่อาจสะดุดด้วยภัยธรรมชาติ
สำหรับผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุนน่าจะมีความผันผวนจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน เชื่อว่าจะสร้างแรงกระตุกให้กับเศรษฐกิจโลกแน่นอน และไทยคงหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ ซึ่งไทยจะต้องหาวิธีการเจรจาเชิงรุกและทำความเข้าใจสหรัฐ จะช่วยเรื่องของระยะกลางได้ แต่เรื่องของระยะสั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะเห็นการแกว่งตัวของอัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายการเงิน (Policy Rate) จะมีโอกาสลงหรือไม่
“ต้องดูจังหวะและการดำเนินงานของนโยบายที่ประกาศเร็วและแรงแค่ไหน จึงเป็นภาวะความผันผวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผู้ประกอบการเองควรจะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งด้านรายรับและต้นทุนในกรณีที่มีการส่งออกและนำเข้า เพราะว่าเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ”
ธุรกิจเดินหน้าสีเขียวต่อ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 เอกชนไม่ใช่การแค่ปรับตัวตั้งรับ แต่จำเป็นที่ต้องเดินหน้าเชิงรุก โดยไม่ต้องรอให้ทรัมป์ทำอะไรกับเราก่อน อย่างการหาตลาดใหม่ได้พยายามชี้แนะภาคเอกชนมาตลอด สำหรับนโยบายเรื่อง Green ต่อให้ทรัมป์ไม่สนับสนุนพลังงานสีเขียว หรือสินค้าสีเขียว
แต่ภาคอุตสาหกรรมยังคงต้องเดินตามนโยบายที่จะมุ่งไปสู่ Net Zero ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เนื่องจากยังมีตลาดอื่นอย่างยุโรปที่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของกรีน การลดการปล่อยคาร์บอน ดังนั้นการผลิตสินค้า การใช้ และการลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาดก็ยังต้องทำต่อไป และที่สำคัญ ทรัมป์มีเวลาอยู่แค่ 4 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นก็อาจจะมีนโยบายที่เปลี่ยนไป