“ส่งออก” ปีนี้เจอมรสุมหนัก สรท.ขอรัฐลดค่าไฟ-ลด ดบ.ช่วย
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
การส่งออกไทยปี 2568 หลายหน่วยงานยังมองทิศทางไปในภาพบวก โดยกระทรวงพาณิชย์ได้มีการหารือกับภาคเอกชน วางเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีหน้าขยายตัวอยู่ในกรอบ 2-3% ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเผชิญทั้งจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ซึ่งจะเห็นความชัดเจนภายหลังวันที่ 20 มกราคม 2568 นี้
ขณะที่ปัญหาสงครามยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะรุนแรงหรือยืดเยื้อหรือไม่ และยังต้องติดตามปัจจัยภายในประเทศที่จะกระทบ โดยเฉพาะต้นทุนของผู้ประกอบการ เช่น ค่าแรง ค่าไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งอัตราดอกเบี้ย ซึ่งล้วนมีผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน ล่าสุดสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยได้ประเมินทิศทางการส่งออกไทยขยายตัวอยู่ในกรอบ 1-3% ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สภาผู้ส่งออกประเมินแนวโน้มการส่งออกในปี 2568 เติบโต 1-3% มูลค่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ยังดี เพราะมีแรงหนุนจากการเร่งนำเข้า ก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีน และเทศกาลถือศีลอดของตลาดในตะวันออกกลาง จะมีผลทำให้การส่งออกในไตรมาสแรกมีโอกาสขยายตัว 1-2% คิดเป็นมูลค่ารวม 72,000 ล้านบาท แต่ในไตรมาส 2 จะต้องประเมินความเสี่ยงจากผลกระทบสงครามการค้ามากขึ้น
สารพัดปัจจัยเสี่ยงส่งออก 2568
อย่างไรก็ดี การส่งออกของไทยปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องจากสงครามการค้าที่เกิดจากนโยบายทรัมป์ 2.0 รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า ซึ่งอาจส่งผลทั้งด้านบวกและลบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่จะดึงนักลงทุนกลับประเทศและมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกามีความร้อนแรง มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับประมาณการลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 4 ครั้งเหลือ 2 ครั้ง ในปี 2568 รวมทั้งแนวทางการลดยกเลิกความเข้มงวดของมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องของการอ้างสิทธิเหนือน่านน้ำ ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารในทะเลจีนใต้ ประกอบกับสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้, ค่าเงินบาท ผันผวน จากปัจจัยภายใน รวมถึงเงินเฟ้อและนโยบายการค้าประธานาธิบดีสหรัฐ
คาดข้าว-ยางพาราปี’68 โต 0%
สรท.ได้คาดการณ์การส่งออกในรายสินค้า ในภาพรวมยังขยายตัวและเป็นไปในทิศทางที่ดี เช่น การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะโต 3-10% การส่งออกสิ่งทอโต 2% ผลิตภัณฑ์ยางโต 2% น้ำตาลทรายโต 10% อาหารโต 5% ส่วนสินค้าที่คาดว่าจะหดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์สำปะหลังลดลง 10% ส่วนการส่งออกอื่น เช่น ยางพารา ข้าว ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ การส่งออกคาดว่าขยายตัว 0% ซึ่งการส่งออกยังคงโตไปตามกรอบเป้าหมาย
สรท.เสนอให้กระทรวงพาณิชย์จัดประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ.พณ.) เป็นรายไตรมาส เพื่อติดตามสถานการณ์ความผันผวนการค้าระหว่างประเทศ และต้องเพิ่มเติมงบประมาณด้านกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ทั้งในประเทศคู่ค้าหลักและตลาดเกิดใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า รองรับการบิดเบือนตลาดจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐ
ส่วนการส่งออกไทยปี 2567 ได้ปรับคาดการณ์ส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 4-5% โดยมีมูลค่าส่งออกรวม 298,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีลุ้นที่ทั้งปีจะเติบโตได้ 5% หากในเดือนธันวาคม 2567 ไทยสามารถส่งออกได้ขั้นต่ำ 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นปีที่ไทยสอบผ่าน เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญ ๆ ขยายตัวดี อาทิ ข้าวโต 12% ยางพาราโต 20-30% อาหารโต 3-5% เครื่องใช้ไฟฟ้าโต 2% และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์โต 5% เป็นต้น
“การส่งออกสินค้าที่ลดลง เป็นสิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องเร่งกระตุ้น เพื่อผลักดันการส่งออกของไทยให้มีการเติบโตในปีหน้า”
วอนรัฐลดค่าไฟ-ลด ดบ.ช่วย
นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ทิศทางการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสแรกยังคงมีทิศทางที่ดี แต่ยังมีหลายปัจจัยที่กระทบ เห็นได้จากที่ผ่านมายอดส่งออกรถยนต์ลดลง การขายในประเทศไม่ค่อยเติบโต เนื่องจากปัญหาการปล่อยสินเชื่อ จึงเป็นความท้าทายของภาคการส่งออกภายในปีหน้า เพื่อช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน โดยเฉพาะเรื่องค่าแรงที่มีการปรับขึ้นไปแล้ว
โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ภาคเอกชนมองว่า ต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงินลดดอกเบี้ย ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2568 เพื่อบรรเทาภาระ รวมไปถึงบรรเทาผลกระทบบาทแข็งค่า รวมทั้งให้รัฐบาลควรพิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้า เพื่อชดเชยต้นทุนการผลิตหลังการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำด้วย เพราะหากค่าแรงปรับขึ้นแล้ว ค่าไฟยังมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นตาม อาจจะเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการและผู้ส่งออก รวมไปถึงศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก จึงต้องการฝากให้กระทรวงพลังงานมีการพิจารณาและประเมินปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้วย
อย่างไรก็ดี ยังพบว่าราคายางพารายังคงทรงตัวอยู่ที่ 70 บาทต่อกิโลกรัม ความต้องการยังคงที่ จากภาวะซึมตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น รถยนต์ ยางล้อ ยังคงต้องติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิด
ค่าระวางเรือลดช่วยหนุนส่งออก
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สำหรับทิศทางค่าระวางเรือในปี 2568 ประเมินว่า มีแนวโน้มปรับลดลง 3-4% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้การส่งออกโดยรวมดีขึ้น และนอกจากนี้ ปัญหาเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนคาดว่าจะมีจำนวนเพียงพอ ส่วนกองเรือที่จะเข้ามาบริการ จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น 4.9-5% ทำให้ภาพรวมของสายเดินเรือขนส่งสินค้าในปีหน้าเป็นไปในทิศทางที่ดี
แต่ยังคงมีปัจจัยที่กระทบการเดินเรือ เพื่อการส่งออกบ้าง เช่น บางเส้นทาง อย่างยุโรป ที่ติดปัญหาทะเลแดง ยังคงต้องใช้เส้นทางอ้อมเข้าแหลมกู๊ดโฮป เพื่อเลี่ยงเส้นทางที่มีปัญหา ปัญหาแรงงานที่ท่าเรือสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในวันที่ 15 มกราคม 2568 นี้ ภายหลังจากที่เกิดการประท้วงหยุดงาน มองว่ามีทิศทางเป็นบวก สถานการณ์กลับมาดีขึ้นจะส่งผลให้การส่งออกไปตลาดสหรัฐกลับมาปกติ
“เส้นทางเดินเรือหลายเส้นทางมีการปรับค่าระวางเรือลดลง โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคมในปี 2567 ที่ผ่านหลายเส้นทาง เช่น ญี่ปุ่น แอฟริกา นิวซีแลนด์ เกาหลี สิงคโปร์ จะมีเฉพาะบางเส้นทางที่ปรับขึ้น เช่น อเมริกาใต้ ยุโรป เป็นต้น โดยเชื่อว่าในปีหน้าแนวโน้มก็จะยังปรับลดลงจากปัจจัยภาพการส่งออกทั่วโลกที่ยังต้องรอติดตามและประเมินอีกครั้ง”