เป้าหมาย Net Zero ไทย หลัง ‘ทรัมป์’ ประกาศฟอสซิลคัมแบ็ก

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปี 2015 (2558) หรือ COP ที่ทั่วโลกต่างให้คำมั่นสัญญาในการเริ่มควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ขณะที่ประเทศไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นภาคีสมาชิก และประกาศเจตนารมณ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป้าหมายให้เป็นศูนย์สู่ “Net Zero ภายในปี 2065” (2608)

ในเวทีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ “COP 26” เมื่อปี 2564 ด้วยการเริ่มออกข้อบังคับกับหลายอุตสาหกรรมเพื่อที่จะมุ่งหน้าทยอยลดการปล่อยคาร์บอน ในบางประเทศเริ่มกีดกันทางการค้าด้วยกำแพงภาษี และหันไปหาพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง ในขณะที่ “นายโดนัลด์ ทรัมป์”ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พยายามที่จะถอนตัวออกจาก COP และมองว่า ข้อตกลงปารีสคือภาระ โดยจะกลับมา “เพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล” (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน) เช่นเดิม

ทรัมป์เมิน COP ใช้ฟอสซิลเพิ่ม

เมื่อนโยบายของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แน่นอนว่าประเทศที่กำลังปรับตัวและเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดก็ต้องชะงัก ต่างตั้งคำถามและหันมาทบทวนเป้าหมายกันใหม่ว่า ควรจะเดินหน้าต่อหรือรอก่อน แม้ระยะเวลาของทรัมป์จะมีเพียง 4 ปี แต่นั่นสามารถสร้างทั้งโอกาส และสร้างความเสียหายได้ไม่น้อยกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม

เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นฐานการผลิตของหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่ป้อนให้กับทั่วโลก เหล่าบริษัทเอกชนภาคอุตสาหกรรมได้วางแนวทางและงบประมาณในการที่จะลดการใช้พลังงานฟอสซิลลง และลงทุนด้านพลังงานสะอาดขึ้นมาแทน จะคล้อยตามทรัมป์และชะลอเจตนารมณ์เดิมหรือไม่ แม้รู้ดีว่าพลังงานสะอาดคือหนึ่งเหตุผลที่จะดึงดูดการลงทุน

“นายเกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โลกต่างจับตาถึงนโยบายที่สหรัฐ จะดำเนินการต่อจากนี้ ทั้งการตั้งกำแพงภาษีขั้นสุดกับทางจีน 60-100% รวมถึงสิ่งที่ทั่วโลกกังวลคือ นโยบายด้านพลังงาน ในขณะที่ทั่วโลกต่างพยายามเดินหน้าสู่พลังงานสะอาด และทยอยการปล่อยลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อเป้าหมายให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2065  (ปี 2608) แต่ทรัมป์หันกลับมาสนับสนุนพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลเหมือนเช่นอดีต ซึ่งเป็นพลังงานที่มีปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูง

หากพิจารณานโยบายของ “ทรัมป์ 2.0” ย่อมเห็นผลกระทบทั้งบวกและลบ โดยเฉพาะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมของไทย เพราะการถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส (COP) คือการชะลอมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ เราอาจจะเห็นข้อดีในภาพรวมเรื่องของต้นทุนผลิตลดลงในระยะสั้น

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเตรียมที่จะเพิ่มการขุดเจาะหาแหล่งน้ำมัน และยกเลิกบางมาตรการของกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาโลกร้อนในระยะยาว และทำให้เป้าหมาย Net Zero ชะลอออกไป การแผ่วกำลังลงของความพยายามที่จะลดการปล่อยคาร์บอนย่อมส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ซึ่งนี่คือ “ต้นตอของภัยพิบัติทั่วโลก”

ต้นทุนพลังงานเหลือ 60 ดอลล์

เมื่อทรัมป์เพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน) เชื่อว่า ต้นทุนด้านพลังงานจะเหลือประมาณ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล แน่นอนว่าทำให้ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงหรือคงที่ ทั้งในตลาดโลกและไทยในช่วงระยะสั้น ส่วนการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส มุมหนึ่งจะลดแรงกดดันต่อธุรกิจส่งออกไทยในระยะสั้นกับการปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน แต่อีกมุม ทิศทางของอุตสาหกรรมที่สนับสนุนด้านการใช้พลังงานสะอาดชะลอตัวที่จะดำเนินงานไปสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังลดการให้เงินอุดหนุนหรือการให้เครดิตภาษีการลงทุนในส่วนของลม ไฮโดรเจน และโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS) แต่จะส่งเสริมนิวเคลียร์ (SMR) และโซลาร์เซลล์ นี่จึงเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมไทยในการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ ทดแทนส่วนที่สหรัฐต้องนำเข้าจากจีน และหากรวมไปถึงความพยายามที่จะเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยิ่งทำให้มี Supply มากขึ้น ส่วนของน้ำมัน/ก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว LNG ปรับตัวลงในระยะสั้น

แต่การชะลอการดำเนินงานของกฎหมาย IRA สำหรับการลงทุนด้านพลังงานสะอาดที่ใช้งบฯ 10 ล้านล้านดอลลาร์ และการชะลอกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ผลกระทบจะทำให้เกิดการชะลอตัวในการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทย เสียโอกาสต่อการเพิ่มศักยภาพความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ในขณะที่เอกชนไทยทุ่มเงินตามแผนลุยสู่เป้า Net Zero ไม่สนนโยบายทรัมป์ เพราะเชื่อว่าระยะยาวโลกและคู่ค้ายังต้องการพลังงานสะอาดอย่างแน่นอน

WHA เดินหน้าทำพลังงานสะอาด

ส่วนภาคอุตสาหกรรมที่ได้ขึ้นชื่อว่าปล่อยคาร์บอนสูงอันดับต้น ๆ นั้น นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่า ที่ผ่านมาโลกประสบปัญหามากกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะฝนกระหน่ำ (Rain Bomb) ในขณะเดียวกันนักลงทุนแสดงความต้องการพลังงานสะอาด 100%

ความท้าทายคือ การที่ WHA ต้องลงทุนสร้างพลังงานสะอาด และปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ธุรกิจขนส่ง WHA จึงเริ่มด้วยการรุกใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ครอบคลุมไปถึงสถานีชาร์จและเซอร์วิสต่าง ๆ ที่ถูกป้อนจากไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์เซลล์บนหลังคาเป็นการลงทุนเพื่อลดปริมาณคาร์บอน WHA ยังคงมีโจทย์ที่ใหญ่กว่านั้น เมื่อพบว่าบริษัทขนส่งขนาดใหญ่มีรถขนส่งกว่า 4 ล้านคัน และจะต้องเปลี่ยนให้มันเป็น EV ทั้งหมดให้ได้ภายใน 3 ปี

ช่วยลดค่าไฟลูกค้า 1,860 ล้าน/ปี

จึงเป็นที่มาของการตั้งบริษัทใหม่ขึ้นเพื่อทำกรีนโลจิสติกส์ รวมถึงบริหารจัดการเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนของนิคมอุตสาหกรรม ด้วยการดึง ปตท. เข้ามาเพื่อช่วยลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมกักเก็บคาร์บอน วางแนวทางเรื่องของการปล่อยคาร์บอน ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) จะเข้ามาเป็นแหล่งพลังงานสะอาดในอนาคตของ WHA ปัจจุบัน WHA มี “สัดส่วนพลังงานสะอาด 500 เมกะวัตต์” และภายในปี 2572 พลังงานสะอาดต้องทำให้ได้ถึง 1,200 เมกะวัตต์ ด้วยวิธีปลูกป่า 2.8 แสนไร่ หรือปลูกต้นไม้ 32 ล้านต้น

รวมถึงแผนการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P Energy and Carbon Trading เพื่อให้ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมสามารถซื้อขายพลังงานกันได้ ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายสู่ Net Zero ภายในปี 2593 จึงถูกเริ่มด้วยการใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เพื่อลดการใช้คาร์บอนในปี 2573 ให้ได้ 42% นี่คือการลงทุนใหม่ ๆ ที่สร้างรายได้เพิ่มเข้ามา แม้หลายคนอาจมองเรื่องของการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นต้นทุน แท้จริงแล้วเมื่อใดที่พลังงานสะอาดแตะ 1,200 เมกะวัตต์ จะสร้างรายได้ถึง 5,600 ล้านบาท และลดค่าไฟให้ลูกค้าได้สูงถึง 1,860 ล้านบาทต่อปี

ขณะเดียวกันยังลดการใช้น้ำจากธรรมชาติ ให้ได้มากที่สุดปีละ 25 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี พร้อมกับเพิ่มมูลค่าน้ำจากการบำบัดแล้วขายกลับให้ลูกค้า

ปตท.ยันเป้า Net Zero ไม่เปลี่ยน

ขณะที่ “นายคงกระพัน อินทรแจ้ง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 จะต้องไม่เปลี่ยนแปลง ประเทศไทยจะต้องใช้พลังงานสะอาด แม้ว่าก๊าซธรรมชาติยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีบทบาทสำคัญต่อเนื่องอีก 20-30 ปี แต่ต้องทำควบคู่กับการลดคาร์บอน คู่ขนานไปพร้อมกับโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS)

โดยมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ท่อและถังเก็บคาร์บอน เพื่อเก็บคาร์บอนที่ปล่อยจากโรงงานต่าง ๆ ในกลุ่ม ปตท. และนำไปกักเก็บในอ่าวไทย ที่เริ่มทดลองทำ Sandbox ในแหล่งอาทิตย์ ขนาด 1 ล้านตันคาร์บอน เป็นการผลิตก๊าซแล้วแยกคาร์บอนจากแท่นผลิตแล้วอัดกลับลงในทะเล ในวันที่เกิดขึ้นจริงจะเป็นการนำคาร์บอนที่ปล่อยจากอุตสาหกรรมกักเก็บไว้ในถังเก็บบนบกแล้วลำเลียงผ่านท่อ เพื่อมากักเก็บในหลุมก๊าซที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และไฮโดรเจน จะเกิดขึ้นตามมา

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น WHA หรือ ปตท. ต่างก็มองเรื่องการพยายามที่จะลดคาร์บอนเพื่อไปสู่ Net Zero ว่ามันคือ โอกาสทางธุรกิจมากกว่าเป็นการเพิ่มต้นทุน เพราะมันหมายถึงการที่จะมีรายได้เพิ่ม รวมถึงการได้พาร์ตเนอร์ใหม่ ๆ แม้ทั้งหมดจะเป็นแนวทางที่อาจต้องใช้ระยะเวลานานหลายปี แต่สะท้อนให้เห็นว่าการที่ภาคอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งเป็นแหล่งที่สร้างมลพิษและมีอัตราการปล่อยคาร์บอนสูงอันดับต้น ๆ ยังกล้าที่จะย้ำจุดยืนในการดูแลและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

โอกาสที่ไทยจะไปถึงเป้าหมายพลังงานสะอาด ก็ไม่ไกลเกินความพยายาม