บริษัทจีนแปลงร่าง หนีสงครามการค้า
ที่มา : ประชาชาติธุ รกิจ
ขณะที่ทั่วโลกกำลังสั่นสะเทือนกับนโยบายทรัมป์ 2.0 รวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะภาคธุรกิจตื่นตัวกับการรับมือนโยบายการค้าของสหรัฐ อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องออกมายืนยันว่าเกาะติด ทั้งมีการหารือกับภาคเอกชนเพื่อวางแผนรับมือแล้ว
แต่ทำไมภาคธุรกิจยังตระหนกกับการค้าโลกที่ปั่นป่วน
คงเพราะไทยไม่ได้มีความเสี่ยงจากผลกระทบโดยตรงจากนโยบายของสหรัฐเท่านั้น แต่ผลที่เกิดขึ้นกับจีนจะส่งผลทางอ้อมต่อไทยด้วย
ดังนั้นตัวแทนภาคเอกชนอย่าง “สนั่น อังอุบลกุล” ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และในฐานะคณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 ฝ่าย (กกร.) จึงออกมาเรียกร้องรัฐบาลเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการนำเสนอข้อมูล+ข้อเท็จจริงปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ
โดยระบุว่ารัฐบาลมีคณะทำงานศึกษาผลกระทบและแนวทางการรับมือนโยบายการค้าทรัมป์ 2.0 แต่ทำไมคณะทำงานไม่มี “ภาคเอกชน” ร่วมอยู่ด้วย ทั้งที่เป็นผู้ที่มีข้อมูลและเข้าใจปัญหาจริง ๆ กกร.จึงขอเข้าหารือกับนายกรัฐมนตรี (แพทองธาร ชินวัตร) โดยด่วน ถึงแนวทางต่าง ๆ พร้อมข้อเสนอให้เอกชนร่วมภาครัฐเป็น “ทีมไทยแลนด์” รับมือนโยบายทรัมป์ 2.0
ที่ผ่านมาแม้ว่ายุคทรัมป์ 1.0 ไทยอาจได้อานิสงส์จากที่สหรัฐตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีน ทำให้จีนย้ายฐานผลิตเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก
รวมถึงตัวเลขส่งออกไทยไปสหรัฐก็เพิ่มขึ้น เพราะ “สินค้าจีน” ใช้ไทยเป็นทางผ่านส่งออกไปสหรัฐ เพื่อเลี่ยงภาษี
จนทำให้ปี 2567 ที่ผ่านมา ตัวเลขยื่นขอลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยมูลค่าถึง 8.32 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 25%
โดยเขตเศรษฐกิจที่มี FDI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 357,540 ล้านบาท, จีน 174,638 ล้านบาท และฮ่องกง 82,266 ล้านบาท เรียกว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นบริษัทจีน
ขณะที่นักสังเกตการณ์ต่างประเทศมองว่านโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ 2.0 จะไม่เจาะจงไปที่สถานที่ตั้งโรงงานผลิตอีกต่อไป แต่จะยึดถือเอาสัญชาติของบริษัทเป็นสำคัญ ถ้าเป็นเช่นนี้การย้ายฐานผลิตเพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีจะไม่เป็นผลอีกต่อไป
สอดคล้องกับ “ดนุชา พิชยนันท์” เลขาธิการสภาพัฒน์ ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยต้องมีกลไกที่จะทำให้บริษัทจีนที่ย้ายฐานผลิตเพื่อเลี่ยงการกีดกันทางการค้าให้กลายร่างเป็นบริษัทไทย ไม่ว่าจะใช้วิธีเข้าไปร่วมทุนหรือวิธีไหน เนื่องจาก FDI ส่วนใหญ่ที่เข้ามาเป็นนักลงทุนสิงคโปร์ที่แปลงร่างจากจีน ดังนั้น บริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยก็ต้องทำให้เป็นบริษัทไทย เพราะถ้ายังเป็นสัญชาติจีนก็มีความเสี่ยงที่จะโดนผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0
นั่นหมายถึงความเสี่ยงที่การลงทุนจากต่างประเทศอาจจะไม่ได้หลั่งไหลเข้ามาอีกเหมือนเช่นที่ผ่านมา
นอกจากนี้ สินค้าที่เข้าข่ายเป็น “สินค้าจีนที่ส่งผ่านไทย” ไปยังตลาดสหรัฐก็มีความเสี่ยงที่จะหดตัว
KKP Research ระบุว่า นับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2567 มูลค่าส่งออกหมวดแผงโซลาร์เซลล์ปรับลงกว่า 80% เนื่องจากสหรัฐมองว่าจีนใช้ไทยเป็นทางผ่านส่งออก เมื่อกลางปี 2567 สหรัฐจึงได้ “ยกเลิก” นโยบายยกเว้นภาษีแผงโซลาร์เซลล์จากไทย
เมื่อการส่งออกจากไทยไม่ได้รับการยกเว้นภาษี บริษัทจีนที่มาใช้ไทยเป็นฐานส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ก็เริ่มย้ายฐานไปที่ลาวและอินโดนีเซียแทน
ประเด็นนี้สะท้อนว่า FDI จากจีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา (เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐ) อาจลดลง หรือย้ายออกจากไทย
เรื่องนี้ต้องถาม BOI ว่าเห็นสัญญาณนี้มากน้อยแค่ไหน
รวมทั้งตัวเลขส่งออกของไทยที่เติบโตในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะ “สินค้าจีนใช้ไทยเป็นทางผ่าน” แต่เมื่ออานิสงส์เหล่านี้หายไป จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย
ขณะที่นโยบายทรัมป์ 2.0 ไม่เหมือนเดิม รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงไม่สามารถมองแบบเดิม และใช้สูตรเดิมที่หวังจะได้รับอานิสงส์แบบเดิม ๆ ได้อีก