เจาะมุมมอง ‘ศ.(พิเศษ) กิติพงศ์’ รื้อระบบภาษีใหม่ต้อง ‘ไม่ปะผุ’
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
กลายเป็นประเด็นร้อนสำหรับการ “รื้อโครงสร้างภาษี” ที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง โยนหินมาว่าจะต้องดำเนินการ เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเก็บรายได้น้อยกว่ารายจ่าย รัฐบาลต้องขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนระดับหนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน
เรื่องนี้มีข้อเสนอแนะจากกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายภาษี “ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ให้ความเห็นในฐานะประธานคณะกรรมการกฎหมายภาษีและกฎระเบียบสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งอดีตเคยดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย ในยุคสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และกรรมการปฏิรูปภาษีอากรของกระทรวงการคลัง
ตีโจทย์ปฏิรูปภาษี 2 ประเด็นใหญ่
ภาพรวมเห็นด้วยที่ต้องมีการปฏิรูปภาษี แต่สูตร 15-15-15 อย่างที่เขาพูดกัน ผมว่าไม่เวิร์ก ซึ่งการปรับโครงสร้างภาษี ต้องไม่ใช่แค่ปะผุ เหมือน 80 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเรื่องนี้เคยเสนอตั้งแต่ตอนเป็น สปช. ที่มีคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตอนนั้น ในส่วนของกรมสรรพสามิต กับกรมศุลกากร ทำสำเร็จไปแล้ว เหลือแต่รัษฎากรของกรมสรรพากร”
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์กล่าวและว่า การปฏิรูปภาษีมีโจทย์สำคัญอยู่ 2 เรื่องใหญ่ ๆ คือ 1.ต้องแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคนี้ให้ได้ โดยภาษีเราไม่สูงกว่าประเทศอื่น
และ 2.มาตรการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต่อไปนี้จะทำยากขึ้น เนื่องจากมีเงื่อนไขของ OECD ตามเสาหลักที่ 2 หรือ Pillar 2 ที่กำหนดให้เก็บภาษีนิติบุคคลจากบริษัทต่างชาติที่มาลงทุนขั้นต่ำ 15% หากประเทศไทยยกเว้นตรงนี้ให้บริษัทเหล่านี้ ก็จะไปเสียภาษีให้ประเทศตัวเองที่เก็บ
“สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องมีการปรับโครงสร้าง ซึ่งรัฐบาลก็กำลังดูกันอยู่ว่า ถ้าเราไม่มีมาตรการบีโอไอ แล้วใครจะมาลงทุนบ้านเรา ฉะนั้น ถ้าเราเก็บภาษีตรงนี้ 15% ก็อาจจะต้องมีกองทุนขึ้นมาอุดหนุน เพื่อจูงใจให้มาลงทุน ซึ่งทุกประเทศก็กำลังดูกันอยู่”
ภาษีนิติบุคคล 15% แข่งขันได้
ปัจจุบันภาษีนิติบุคคลของไทย เก็บอัตรา 20% หากรวมเงินปันผลอีก 10% คิดเอฟเฟ็กทีฟออกมาจะประมาณ 28% คือ บริษัทต่างชาติมาตั้งบริษัทในไทย ต้องจ่าย 28% ซึ่งอัตรานี้ถือว่าไม่ช่วยเรื่องการแข่งขัน เพราะประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์เก็บภาษีนิติบุคคลอยู่ 17% ฮ่องกงเก็บ 18% และไม่มีเรื่องภาษีเงินปันผล
แต่ถ้าไทยเก็บ 15% แล้วเก็บภาษีเงินปันผลอีก 10% ก็จะเป็น 23.5% ก็น่าจะแข่งขันได้ นอกจากนี้หากจะจูงใจบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจจะไม่เก็บภาษีเงินปันผลบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่นอกตลาดเก็บก็ได้
“แนวทางของคลังที่จะเพิ่มจำนวนผู้เสียภาษีให้มากขึ้น โดยลดภาษีนิติบุคคลลง แล้วก็ปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถ้าลดภาษีนิติบุคคลลง สมมุติว่าจาก 20% เป็น 15% แล้วมีภาษีเงินปันผลอีก 10% ก็จะเท่ากับว่า เสียภาษี 23.5% ซึ่งระดับนี้ถือว่าโอเค แข่งกับสิงคโปร์ กับฮ่องกงได้ เพราะประเทศเราค่าใช้จ่ายถูกกว่า”
ดึงธุรกิจนอกระบบเข้าฐานภาษี
อย่างไรก็ดี หากจะทำแบบนี้ ต้องปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบด้วย เพราะปัจจุบันบริษัทในไทยมีประมาณ 9 แสนบริษัท เสียภาษีจริง ๆ มีแค่ราว 1 แสนบริษัทเท่านั้น ที่เหลือขาดทุนบ้าง อะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่มีการทำบัญชี 2 เล่ม ซึ่งที่ผ่านมายังแก้กันไม่ตก ดังนั้นจึงต้องดึงบริษัทเหล่านี้เข้าสู่ระบบด้วย ซึ่งจะมีแรงจูงใจด้วยการคืนภาษี VAT ให้เร็วกว่าบริษัทที่ยื่นภาษีด้วยกระดาษ
ถ้าจะปรับโครงสร้างภาษีก็ต้องทำทั้งระบบ ไม่ใช่ปะผุแค่ขึ้นภาษี ลดภาษี เพราะการลดอัตราลงก็จะมีแต่บริษัทใหญ่ ๆ ที่ได้ประโยชน์ ส่วนบริษัทเล็ก ๆ ไม่เสียอยู่แล้ว ก็ไม่สนใจ ผมเลยบอกว่า ต้องปรับโครงสร้างใหญ่ ว่าต่อไปนี้ใครที่จะได้ภาษีที่ลดลงนี้ ต้องยื่นภาษีด้วย e-Payment ของกรมสรรพากรทั้งหมด ก็คือยื่นภาษีออนไลน์ โดยรัฐสามารถสร้างระบบ สร้างแพลตฟอร์มมาให้กรอก ไม่ต้องไปจ้าง
นอกจากนี้ การดึงบริษัทนอกระบบเข้าในระบบ ก็ต้องไม่ไปตรวจภาษีย้อนหลังด้วย โดยกำหนดเวลาให้เข้าสู่ระบบ เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งต้องออกเป็นกฎหมายให้ชัดเจน ไม่ใช่เป็นแค่นโยบาย เพราะไม่อย่างนั้น หากรัฐบาลเปลี่ยน นโยบายก็จะเปลี่ยน
ถ้าจะนิรโทษกรรมผู้เสียภาษี โดยไม่ปรับโครงสร้างภาษี จะไม่มีประโยชน์ ต้องปรับโครงสร้าง เพิ่มฐานผู้เสียภาษี เช่น ต่อไปนี้ทุกคนต้องยื่นภาษี ต้องเข้าสู่ระบบหมด มีรายได้ตั้งแต่ 1 บาท ก็ต้องยื่น แต่ไม่ต้องเสียภาษี”
ทยอยขึ้น VAT สูงสุด 10% ก็พอ
ขณะที่การปรับโครงสร้าง ก็ต้องขึ้นภาษี VAT ซึ่งอาจจะขึ้นเป็น 10% ก็พอ โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าก็บอกว่าจะได้เม็ดเงิน 2.5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี อาจจะขึ้นทีละ 1% ก็ได้ ขณะที่การดูแลคนจนที่ได้รับผลกระทบ ก็ใช้วิธีการโอนเงินคืนให้
“คนจนก็ตั้งฐานเงินเดือนเลยว่า คนเงินเดือนไม่เกิน 2.5 หมื่นบาท หรือไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทก็ได้ ดูจากค่าแรงขั้นต่ำก็โอนให้เลย 10% ของค่าสินค้าและบริการที่ซื้อ หมายความว่าคนกลุ่มนี้ไม่ต้องเสียภาษีเพิ่ม แถมได้ลดด้วย เพราะเดิมเคยเสีย 7% หรือสินค้าจำเป็น ก็ไม่ต้องขึ้น VAT ก็ได้ ก็เก็บ 7% แต่ของฟุ่มเฟือย สุรา ยาสูบ เครื่องสำอาง น้ำหอม ฯลฯ ก็ขึ้นเป็น 10% ไป คือคนใช้ของแพง ก็จ่ายแพง ส่วนพวกยารักษาโรคก็ลดให้เขาเหลือ 5%”
นอกจากนี้การจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการในระบบภาษี VAT ก็ไม่ควรว่าจะต้องมีรายได้ตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป แต่ควรขยับขึ้นไปเป็น 5 ล้านบาท หรือ 10 ล้านบาท ส่วนคนไม่เข้า ก็ต้องเสียภาษีรายรับ หรือภาษีการค้า 3% หรือ 5% ก็แล้วแต่ เหมือนสมัยเก่า แบบนี้รัฐบาลก็จะได้คนเข้าระบบ VAT หมด
ภาษีบุคคลขั้นบันไดสูงสุด 25%
ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปัจจุบันมีคนเสียภาษีจริง ๆ ประมาณ 4 ล้านคน จากที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีกว่า 10 ล้านคน มองว่าหากจะเหลือแค่ 15% อัตราเดียวจะดีแต่กับคนที่รายได้สูง ๆ ดังนั้นควรเก็บเป็นขั้นบันไดเหมือนเดิม แต่ลดอัตราสูงสุดลงมาจาก 35% เหลือ 25% แล้วแต่ละขั้นก็อาจจะถ่างให้กว้างขึ้น และยังมีค่าลดหย่อนตามความจำเป็น เช่น ซื้อประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ลงทุน เป็นต้น
“ผมคิดว่า 25% รับได้ แล้วรายการหักลดหย่อนยังจำเป็นต้องมี เอาเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ ก็พอ หักค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ จริง ๆ รัฐบาลควรตั้งเป้าเลยว่าคนมีรายได้เท่าไหร่ควรเสียภาษี เช่น คนรายได้ 3 หมื่นบาท หรือ 5 หมื่นบาท ควรจะเสียภาษีสัก 5% ก็ต้องมาดูตัวเลขกัน แต่ถ้า 15% คนรวยจะได้เปรียบ”
ข้อเสนอแนะเก็บภาษีทรัพย์สิน
ส่วนที่กระทรวงการคลังพูดถึงการลดความเหลื่อมล้ำโดยเก็บภาษีทรัพย์สินจากคนรวยนั้น มองว่า ภาษีการรับมรดก ควรยกเลิก เพราะไม่คุ้มกับการเรียกเก็บ แต่อาจจะเก็บภาษีเงินได้จากการรับมรดกเฉพาะการโอนอสังหาริมทรัพย์ โดยการรับที่มีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ในอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ 5-10% โดยยกเว้นการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และเก็บอากรแสตมป์จากการโอนหุ้นที่เป็นการรับมรดกในอัตราก้าวหน้า ไม่เกิน 10%
คนเรารวยจากไม่กี่เรื่อง ที่ดิน หุ้น และเงินสด ถ้าจะเก็บ Wealth Tax ก็ควรเก็บต่อเมื่อเขาส่งต่อให้ลูกหลาน คือเก็บภาษีจากกองมรดก แต่วันนี้การเก็บภาษีการรับมรดกเก็บได้น้อยมาก ได้ไม่ถึงพันล้าน แต่ถ้าจะเก็บ อย่างเช่น ถ้าใครไปโอนที่ดินให้ลูกหลาน มูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ก็เก็บอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ 5-10% หรือจนกระทั่งถึง 20% แบบนี้จะได้เงินเพิ่มทันที
ส่วนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ควรจะเก็บแต่ไม่ควรเก็บบ้านหลังที่สองขึ้นไป ควรเก็บทุกหลังที่ราคา 5 ล้านบาท หรือ 10 ล้านบาทขึ้นไป แต่เก็บอัตราถูกลงมา หรือให้นำใบเสร็จค่าเสียภาษีที่ดินไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ให้เหมือนกับนิติบุคคลที่หักได้
แนวทางเก็บเงินได้ต่างประเทศ
นอกจากนี้เรื่องการเก็บภาษีเงินได้ในต่างประเทศ ไม่ควรเก็บทันทีที่เกิดเงินได้ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ระบบ Worldwide Income แบบสหรัฐ อย่างสิงคโปร์ก็เก็บแต่เงินได้ที่เกิดในประเทศ ส่วนไทยหากจะเก็บก็ควรเก็บตอนนำกลับเข้าประเทศ เหมาะสมแล้ว โดยวิธีการคำนวณต้องเขียนให้ชัดเจน ไม่ใช่บอกแค่ว่าตามประกาศ ไม่ต้องมาใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ และไม่ควรเก็บถึง 35% รวมถึงต้องดูด้วยว่า มีการเสียภาษีที่ต่างประเทศแล้วหรือยัง ถ้าเสียแล้วก็ไม่ต้องเก็บอีก
“เรื่องนี้ต้องมาคิดว่าถ้าจะแข่งกับสิงคโปร์ควรจะเก็บอย่างไร ซึ่งถ้ารื้อกฎหมายก็ต้องมาแก้กันใหม่ ดังนั้นถ้าจะปฏิรูปโครงสร้าง ควรต้องยกร่างประมวลรัษฎากรใหม่ ไม่ใช่เอาอันใหม่มาใช้ การกำหนดอำนาจการประเมิน การหักค่าใช้จ่าย การหักลดหย่อน ต้องรื้อกันใหม่ ซึ่งจริง ๆ มีโครงอยู่แล้ว ตอนสมัย สปช.ที่เคยทำไว้ ก็ตั้งคณะทำงานขึ้นมา แล้วเอามาดูได้เลย”
รัฐบาลต้องใช้ความกล้าหาญ
“ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์” สรุปในตอนท้ายว่า การปฏิรูปภาษีต้องทำทั้งระบบ ไม่ใช่แก้แบบ “ปะผุ” โดยต้องรื้อประมวลรัษฎากรทั้งฉบับ ซึ่งมีแนวทางที่ สปช.เคยทำไว้ สามารถหยิบมาพิจารณาได้ทันที โดยควรจะมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปภาษีขึ้นมา ทั้งนี้หากดำเนินการอย่างจริงจัง คาดว่าใช้เวลาแค่ 3 เดือน ก็สามารถยกร่างกฎหมายออกมาได้
“ฟังคอนเซ็ปต์แล้ว รัฐบาลต้องกล้ามากที่จะทำ แล้วต้องทำให้เป็นธรรม ทำทั้งโครงสร้างภาษี คือรัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น คนจนไม่เดือดร้อน และบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ก็เข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้อง รัฐบาลควรมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ด้วยการจัดเกรดผู้เสียภาษี ให้เขารู้สึกว่าเสียภาษีให้รัฐบาลแล้วเขาได้ผลตอบแทน เช่น สามารถกู้เงินได้”