เวียดนามหายใจรดต้นคอ แซงไทยเป็น “ฮับอาเซียน”
ทุนนอกแห่เข้า “เวียดนาม” แซงไทยขึ้นฮับศูนย์กลางการผลิตอาเซียนใน 5 ปี จุดแข็งทั้งข้อตกลงเอฟทีเออียู-CPTPP ค่าแรงถูกกว่าไทย 50% ความพร้อมแรงงานจำนวนมาก แถมเปิดให้เอกชนมีส่วนร่วมรีเซตยุทธศาสตร์เศรษฐกิจประเทศ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ปัจจุบันเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เวียดนามยังสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ไม่ให้มีการแพร่กระจายจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมภาคการผลิตสินค้า เพื่อการส่งออกของเวียดนามยังเติบโตไปได้ดี
และโอกาสที่จะทำให้การส่งออกเวียดนามปีนี้ขยายตัวได้ 2 หลัก ส่งผลให้เศรษฐกิจเวียดนามปี 2564 เติบโต 4% ทั้งยังสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี จนทำให้การลงทุนในเวียดนามเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า เวียดนามมีโอกาสจะพัฒนาแซงไทยไปในหลาย ๆ ด้าน และมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตในอาเซียนได้
“ปัจจุบันนี้มีนักลงทุนต่างชาติไปลงทุนในเวียดนามมากขึ้น ทั้งจากสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง เป็นต้น เพื่ออาศัยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากที่เวียดนามมีข้อตกลงการค้าเสรี ทั้งพหุภาคี ทวิภาคีกับหลายประเทศที่สำคัญ อาทิ (FTA) เวียดนาม-อียู และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ซึ่งภายใน 5 ปี กลุ่มประเทศสมาชิกเหล่านี้จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น ขณะไทยอยู่อันดับที่ 9 ที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม”
นอกจากนี้ เวียดนามยังมีศักยภาพแรงงานที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จำนวนแรงงานซึ่งมีมากถึง 60 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 97 ล้านคน เทียบกับกำลังแรงงานของไทยที่อยู่ในตลาดมีเพียง 30 ล้านคน ขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำเวียดนามเดือนละ 5,952 บาท “ถูก” กว่าไทย 50% ไทยมีค่าจ้างขั้นต่ำเดือนละ 10,354 บาท
ไม่เพียงเท่านั้น เวียดนามได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างสนามบิน ท่าเรือสามารถรองรับการขนส่งได้ปริมาณมาก และยังอยู่ในเส้น One Belt One Road (OBOR) กับจีนด้วย ถือเป็นจุดแข็งการดึงการลงทุนจากต่างชาติได้เป็นอย่างดี
“จากจุดแข็งหลาย ๆ อย่างจะทำให้อีก 5 ปี เวียดนามจะแซงไทยในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะผลจากการขยายการลงทุน ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีจะส่งผลให้เวียดนามสามารถพัฒนาเข้าสู่ประเทศที่มีอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง หรืออุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างรวดเร็ว และจะกลายเป็นห่วงโซ่การผลิตให้กับโลกจากบริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกเข้ามาลงทุน เช่น ซัมซุง ซึ่งทำให้มูลค่าสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้น เวียดนามจะไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตที่ส่งออกสินค้ามูลค่าขั้นต่ำอีกต่อไป และจะมีการพัฒนาแบรนด์และผลิตรถยนต์สินค้าของตัวเอง เช่น การผลิตไฟฟ้า (อีวี) แบรนด์ตัวเอง จะออกสู่ตลาดปี 2565”
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าการพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้ ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลเวียดนามมีความต่อเนื่อง กฎหมาย กฎระเบียบ มีความชัดเจน ทั้งยังให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดทำและทบทวน (รีเซต) ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ เพื่อพัฒนาให้ได้ยุทธศาสตร์ที่ดีและเหมาะสม