รัฐบาลขยับลงทุน 5 แสนล้าน แลนด์บริดจ์ฮับขนส่ง-เมืองอัจฉริยะ
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
โครงการแลนด์บริดจ์ เป็นอีกหนึ่งเมกะโปรเจ็กต์ข้ามรัฐบาลมีการศึกษาตั้งแต่ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่มาเดินหน้าจริงจังในยุครัฐบาลเพื่อไทย ผ่าน 2 นายกรัฐมนตรี ทั้ง เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร
โดยล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติรับทราบผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.วิสามัญ) พิจารณาศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และส่งกลับคืนให้สภา
ลงทุน 5 แสนล้าน
“มนพร เจริญศรี” รมช.คมนาคม กล่าวว่า โครงการแลนด์บริดจ์ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ เพราะศักยภาพในการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว และมีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ สามารถเชื่อมโยงไทยไปสู่ภูมิภาคเอเชีย และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ ที่จะพลิกโฉมการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งโครงการนี้เป็นหนึ่งในเรือธงของรัฐบาล
“รัฐบาลจะพยายามให้โครงการนี้เกิดขึ้นตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ให้ได้ จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง ทำให้ไทยทันต่อการแข่งขันในเวทีโลก โดยการลงทุนในเฟสแรก คาดว่าจะมีมูลค่าราว 5 แสนล้านบาท” มนพรกล่าว
4 เฟส แลนด์บริดจ์
ย้อนไปก่อนหน้านี้ โครงการแลนด์บริดจ์ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา ทวีสิน อนุมัติเมื่อ 16 ตุลาคม 2566 แบ่งเป็น 4 เฟส ดังนี้ เฟสที่ 1 ประมาณการลงทุนโครงการ 522,844.08 ล้านบาท เนื้องานประกอบด้วย งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร รองรับสินค้า 4 ล้าน TEUs จำนวน 118,519.50 ล้านบาท งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง รองรับสินค้า 6 ล้าน TEUs จำนวน 141,761.02 ล้านบาท งานก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ เป็นทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 4 ช่องจราจร จำนวน 195,504.00 ล้านบาท งานก่อสร้างพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า จำนวน 60,892.56 ล้านบาท และค่าเวนคืนและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน 6,212.00 ล้านบาท
เฟสที่ 2 ลงทุนโครงการ 164,671.83 ล้านบาท ประกอบด้วย งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร รองรับสินค้าเพิ่มอีก 4 ล้าน TEUs จำนวน 45,644.75 ล้านบาท งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง รองรับสินค้าเพิ่มอีก 6 ล้าน TEUs จำนวน 73,164.78 ล้านบาท งานก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ โดยขยายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง จาก 4 ช่องจราจรเป็น 6 ช่องจราจร 21,910.00 ล้านบาท และงานก่อสร้าง พื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า จำนวน 23,952.30 ล้านบาท
เฟสที่ 3 ลงทุนโครงการ 228,512.79 ล้านบาท ประกอบด้วย งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร รองรับสินค้าเพิ่มอีก 6 ล้าน TEUs จำนวน 73,221.99 ล้านบาท, งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง รองรับสินค้าเพิ่มอีก 8 ล้าน TEUs จำนวน 115,929.76 ล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า จำนวน 39,361.04 ล้านบาท
เฟสที่ 4 ประมาณการลงทุนโครงการ 85,177.77 ล้านบาท ประกอบด้วย งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร รองรับสินค้าเพิ่มอีก 6 ล้าน TEUs จำนวน 28,280.20 ล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า 16,897.57 ล้านบาท
ประมูลเฟสแรกปี’69 เปิดใช้บริการปี’73
“มนพร” เปิดไทม์ไลน์โครงการว่า กระทรวงคมนาคมได้วางกรอบการดำเนินงานโครงการแลนด์บริดจ์ โดยคาดว่าจะร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนร่วมลงทุนแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2569 และคัดเลือกผู้ลงทุนได้ในไตรมาส 2 ปี 2569
จากนั้นจะออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินและเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการในไตรมาส 2 ปี 2569 พร้อมลงนามสัญญากับเอกชน คาดการณ์ว่าการก่อสร้างระยะที่ 1 จะเริ่มในไตรมาส 3 ปี 2569 พร้อมเปิดให้บริการปลายปี 2573
โครงการนี้จะประกวดราคาเป็นสัญญาเดียว ได้สิทธิดำเนินโครงการ 3 ส่วน ทั้งท่าเรือน้ำลึก มอเตอร์เวย์ และรถไฟ
2 บิ๊กจากดูไบ-จีน ยังสนใจลงทุน
ขณะเดียวกันโครงการแลนด์บริดจ์ยังได้รับความสนใจจากบริษัทข้ามชาติ โดยส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจความเป็นไปได้ของโครงการ ประกอบด้วยบริษัท Dubai Port World บริษัทโลจิสติกส์จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , China Harbor ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมายักษ์ใหญ่ของจีน
ผลตอบแทน 2.5 แสนล้าน คืนทุนใน 24 ปี
ด้านผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.วิสามัญ) พิจารณาศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปนั้นได้สรุปผลศึกษาดังนี้
1.ไทยเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค และเป็นประตูในการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้าของประเทศในภูมิภาค และระหว่างทวีปต่าง ๆ ของโลก ซึ่งอยู่ในภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกับการดำเนินการโครงการ เหมาะสำหรับสร้างนิคมอุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมยางพารา อุตสาหกรรมอาหาร เพื่อการขนส่ง แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างระหว่างประเทศ
2.สามารถลดเวลาและระยะทางการขนส่งจากเดิมที่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่ง
3.หลีกเลี่ยงปัญหาการติดขัดในการเดินเรือของช่องแคบมะละกา เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง แชร์ส่วนแบ่งการเดินเรือและค่าธรรมเนียมจากช่องแคบมะละกา
4.มีแนวโน้มในการจูงใจผู้ประกอบการขนส่งและนักลงทุนให้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางแลนด์บริดจ์นี้มากขึ้น เพราะสามารถย่นระยะเวลาในการเดินทางจากเส้นทางเดิมได้ประมาณ 5 วัน
5.เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและการค้าของเอเชีย
พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าจะมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ดังนี้ มูลค่าปัจจุบัน (NPV) 257,453 ล้านบาท, อัตราผลประโยชน์ต่อทุน (B/C Ratio) เท่ากับ 1.35, อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) ร้อยละ 17.43, ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจทางตรงร้อยละ 9.52, อัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ร้อยละ 8.62, มีระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24 และจะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ จำนวน 280,000 ตำแหน่ง
โดยแบ่งเป็นจังหวัดระนอง จำนวน 130,000 ตำแหน่ง จังหวัดชุมพร 150,000 ตำแหน่ง รวมทั้งเป็นส่วนช่วยทำให้ GDP ของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี เป็นร้อยละ 5.0 ต่อปี
กฎหมาย SEC บังคับใช้ ธ.ค. 68
อีกด้านหนึ่ง โครงการแลนด์บริดจ์ต้องดำเนินการคู่ขนานกับการออกกฎหมายพิเศษอีก 1 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …. หรือกฎหมาย SEC ลักษณะเดียวกับโครงการ EEC ที่มีทั้งหมดประกอบด้วย 8 หมวด และบทเฉพาะกาล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปความคิดเห็น
โดยกระทรวงคมนาคม จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเดือนมิถุนายน หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในเดือนกรกฎาคม คาดและใช้เวลาพิจารณาอีก 3 เดือน คาดว่าร่าง พ.ร.บ. SEC จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนธันวาคม 2568
ยกระดับ 4 จังหวัด ศูนย์กลางภาคใต้
สำหรับ สาระของร่างกฎหมาย SEC อาทิ หมวดทั่วไป กำหนดให้พื้นที่จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพื้นที่อื่นใดที่อยู่ในภาคใต้ที่กำหนดเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเป็นระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ให้เป็นศูนย์กลางของภาคใต้ในการเชื่อมโยงการค้าและโลจิสติกส์กับพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศและประเทศในภูมิภาคฝั่งอันดามัน และกำหนดวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุถึงการจัดตั้งระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้
หมวด 2 คณะกรรมการนโยบาย กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง 16 กระทรวงหลัก ผู้แทนหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการ เลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ รวมทั้งกำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง
โดยให้มีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาการร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน
ต้องมีเมืองอัจฉริยะ
หมวด 5 เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ให้คณะกรรมการนโยบายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้สามารถกำหนดเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วย เมืองอัจฉริยะ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและดิจิทัล การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และวิถีชุมชน การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ศูนย์กลางอาหารฮาลาล การแปรรูปอาหาร แปรรูปยางพารา และพืชเศรษฐกิจอื่น หุ่นยนต์
ฮับขนส่ง-พลังงานสะอาด
ศูนย์กลางทางการเงิน กลุ่มพลังงานสะอาด นิคมอุตสาหกรรม ศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ การแพทย์และสุขภาพครบวงจร โดยคำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง นวัตกรรม ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
กำหนดให้จัดตั้งกองทุนพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ชุมชน และประชาชนที่อยู่ภายในหรือที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/politics/news-1808159