สภาอุตฯ-หอฯชุมพรหนุน SEC ดันร่างกฎหมายเทียบ EEC
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ได้ลงพื้นที่บริเวณที่จะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย ณ ท่าเรือแหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร และสุราษฎร์ธานี เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) เชื่อมการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) โดยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระนอง ชุมพร และนครศรีธรรมราช เข้าร่วม
ดันผุดท่าเรือรับส่งสินค้า
นายกิตติ กิตติชนม์ธวัช ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชุมพร กล่าวว่า พ.ร.บ. SEC จะเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีแลนด์บริดจ์ แต่หากมีการตั้งนิคมอุตสาหกรรมควรมีการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก เพื่อกักเก็บน้ำที่ไหลมาจากซอกเขาสูง เพื่อไว้ใช้ด้านเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม
ขณะที่ นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร กล่าวว่า เห็นด้วยกับการผลักดันร่าง พ.ร.บ. SEC เป็นอย่างยิ่ง ที่จะทำให้พื้นที่ภาคใต้ และประเทศไทยได้รับประโยชน์ โดยโครงการแลนด์บริดจ์จะกลายเป็น 4 แยกใหญ่ของภูมิภาค จะทำให้ระบบโลจิสติกส์มีความสำคัญสูง จึงขอเสนอ 4 แนวทางเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุน ได้แก่ 1) การมีท่าเรือทั้ง 2 ฝั่งถูกดีไซน์ต่างกัน โดยฝั่งชุมพรมีความลึก 17-18 เมตร ส่วนฝั่งระนอง มีความลึก 21 เมตร โดยฝั่งระนองอาจมีสินค้ากว่า 20,000 ตู้ ส่วนฝั่งชุมพรเป็นลักษณะฟีดเดอร์ ประมาณ 8,000 ตู้
2) อุตสาหกรรมหลังท่า ควรเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามนโยบาย ESG เพื่อรองรับการแปรรูปสินค้าเกษตรในอนาคต และ 3) พื้นที่สงวนไว้ทำแท็งก์ส่งน้ำมัน ควรทำแท็งก์ฟาร์ม 2 ฝั่งเพื่อขนส่งน้ำมันดิบ แบบที่ผ่านช่องแคบมะละกากว่า 17-20 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในส่วนแลนด์บริดจ์อาจทำเป็นรูปแบบน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อใช้แท็งก์ฟาร์มแทนการใช้เรือขนาดใหญ่ 2 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ได้เสนอแนะเพิ่มเติมโดยให้เกิดการเร่งพัฒนาฝีมือทักษะแรงงานให้ทันการเปิดใช้แลนด์บริดจ์ปี 2573 และการวางแผนบริหารจัดการน้ำ เนื่องจากชุมพร-ระนอง ไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ถึง 6 แหล่ง รวมถึงการเริ่มต้นวางแผนการใช้พลังงานสะอาด ทั้งนี้ควรเร่งผลักดันด้วย เพราะประเทศมาเลเซียมีโครงการรถไฟความเร็วสูง 650 กม. ที่ปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่า 78% ซึ่งปี 2027 คาดว่าจะเสร็จสิ้น หากสามารถทำการเชื่อมต่อระบบรางเราได้ อาจกลายเป็นคู่แข่งของไทย
ขณะที่ นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กล่าวว่า ทาง สนข.ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือน กระทรวงได้มีการกำหนดกรอบระยะเวลาของโครงการแลนด์บริดจ์ คาดว่า พ.ร.บ. SEC จะนำเข้า ครม.ได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
อกจากนี้ยังได้นำเสนอถึงจุดเด่นของการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่บริเวณท่าเรือแหลมริ่ว มีเกาะเล็ก ๆ หลายเกาะ ที่ช่วยบังคลื่นลมทะเล เหมาะสำหรับการให้เป็นพื้นที่จอดเรือพัก จะทำการขุดลอกร่องน้ำให้เรือขนาดใหญ่สามารถเข้าได้ ระยะทาง 9.7 กม. มีความลึก 17 กม. และจะนำดินที่ได้จากการขุดลอกร่องน้ำลึกมาถมเพื่อทำการก่อสร้างสะพานให้ชาวประมงสามารถเดินได้ปกติ
ส่วนความก้าวหน้าโครงการ “แลนด์บริดจ์” ระยะทาง 89.35 กม. ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำร่างเอกสารการประกาศประกวดราคาเพื่อคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน ภายในปลายปี 2569 ในระหว่างนี้จะดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน ภายในปี 2569 และลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนที่ชนะการประกวดราคาเฟสที่ 1 มูลค่า 5 แสนล้านล้านบาทในช่วงกลางปี 2569 จากนั้นปี 2570 จะเริ่มก่อสร้างในระยะที่ 1 ทันที และจะเปิดให้บริการภายในปี 2573
กำหนดให้การลงทุนพัฒนาแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยเฟส 1/1 มูลค่าลงทุน 5.22 แสนล้านบาท ประกอบด้วย ท่าเรือฝั่งชุมพรและฝั่งระนอง วงเงิน 2.60 แสนล้านบาท, พื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า SRTO ทั้งฝั่งชุมพรและฝั่งระนอง วงเงิน 6.08 หมื่นล้านบาท และเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ อาทิ เส้นทางมอเตอร์เวย์ รถไฟ วงเงิน 2.01 แสนล้านบาท
ด้านนางมนพรกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีศักยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ที่อยู่ระหว่างสองฝั่งทะเลที่สามารถเชื่อมโยงไทยไปสู่ภูมิภาคเอเชีย และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศในการพลิกโฉมการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม ทั้งนี้ การเปิดรับฟังความเห็นครั้งนี้
โดยภาพรวมทุกคนเห็นดีด้วยอยากให้ร่าง พ.ร.บ.นี้ เป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้ แต่มีข้อเสนอแนะว่า ควรให้มีลักษณะการบริหารคล้ายอีอีซี และมีความเป็นห่วงด้านการบริหารจัดการน้ำอาจไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม มีความมั่นใจโครงการจะต้องเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนี้ โดยจะเริ่มต้นโครงการปี 2570 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี แล้วเสร็จประมาณปี 2573... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/local-economy/news-1802090